ไปแนะแนวที่โรงเรียนศรีวิชัย จ.นครปฐม วันนี้(28 ธ.ค.2555)ประทับใจกับนักเรียน 2 คนนี้ที่มีทัศนคติเชิงบวกต่อการเรียนวิชาชีพเกษตร และมีความสนใจที่จะเข้าเรียนในสาขาวิชาสัตวรักษ์ สาเหตุที่ไปโรงเรียนนี้เพราะ คนที่ชื่อแบงค์ ภาพคนซ้ายสุดโทรมาหาครูว่ามีความสนใจเรียนในสาขาสัตวรักษ์ สืบสาวราวเรื่องว่ารู้ได้อย่างไร แบงค์บอกว่าคุณครูแนะแนวแนะนำมา และได้สืบค้นข้อมูลจาก web blog ของสาขา โดยพิมพ์คำว่า "สัตวรักษ์ราชบุรี" ครูเลยไปแนะแนวให้ถึงที่โดยเฉพาะสำหรับ 2 คนนี้ ก่อนกลับได้รับพวงมาลัยประดิษฐ์ที่ทำโดยพวกเขาเอง เป็นของขวัญปีใหม่ หวังว่าคงจะเป็นครูและศิษย์หากเธอทำบุญร่วมชาติตักบาตรร่วมขันกันมา คงจะได้เข้าเรียนที่วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีราชบุรี หรือเกษตรเขาเขียว ในปีการศึกษา 2556 นี้นะ
วันศุกร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2555
วันพฤหัสบดีที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2555
เหตุเกิดที่หมู่บ้านชัฏหนองหมี
จำได้ว่าคำขวัญ “เราเรียนรู้ด้วยงานการฝึกหัด (Doing to Learn) เราปฏิบัติเพื่อหวังทางศึกษา (Earning to Live) หาเลี้ยงชีพเพื่อชีวิตพัฒนา (Living to Serve) ใช้วิชาเพื่อบริการงานสังคม
(Learning to Do)
เป็นคำขวัญขององค์การวิชาชีพเพื่อเกษตรกรในอนาคตแห่งประเทศไทย
ในสมเด็จพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี หรือที่พวกเราชาวเกษตรเขาเขียวรู้จักกันในชื่อย่อว่า
“อกท.” นั้น เป็นหลักปฏิบัติ
เป็นวิถีของการทำงานในอาชีพของเกษตรเขาเขียวทุกคน จะว่าผู้ที่เรียนผ่านฝึกปฏิบัติผ่านสถาบันการศึกษานี้
จะพบคุณลักษณะหนึ่งที่เป็นเสน่ห์ของเด็กเกษตรที่นี่คือ หนักเอาเบาสู้
มีความอดทน
เรียนรู้งานเร็วในการปฏิบัติงานภาคสนาม
และหน่วยงานที่มีความประทับใจในการปฏิบัติงานร่วมกับชาวเกษตรเขาเขียวตลอดมาคือ หน่วยงานปศุสัตว์จังหวัดราชบุรี
ที่มีลักษณะการทำงานส่งเสริมซึ่งกันและกันกับวิทยาลัยฯ
เห็นได้ชัดเจนคือโครงการสัตวแพทย์พระราชทานในสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 23 – 25 สิงหาคม 2555 ที่อำสวนผึ้ง จ.ราชบุรี
นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ทรงห่วงใยปศุสัตว์ของราษฎร
ทำให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านการปศุสัตว์
ตั้งแต่ปศุสัตว์จังหวัดราชบุรีซึ่งเป็นเจ้าภาพหลักร่วมกับเจ้าหน้าที่จากสำนักพระราชวัง
หน่วยงานราชการๆของจังหวัดที่สนับสนุนการทำงานด้านต่างๆในพื้นที่ ตลอดจนมหาวิทยาลัยที่มีนิสิตนักศึกษาคณะสัตวแพทย์
เช่น มหาวิทยาลัยมหิดล
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
สำหรับเกษตรเขาเขียวเรานั้นเข้าไปมีส่วนสนับสนุนงาน โดยพานักศึกษาในสาขาวิชาสัตวศาสตร์
และสาขาวิชาสัตวรักษ์ลงปฏิบัติงานร่วมกับรุ่นพี่เขาเขียวซึ่งส่วนมากเป็นเจ้าหน้าที่ของปศุสัตว์จังหวัดราชบุรี และผมได้รับเชิญไปในฐานะวิทยากรเสวนา
ร่วมกับเกษตรกรและนักวิชาการจากกรมปศุสัตว์ ในหัวข้อการควบคุมพยาธิภายใน-ภายนอกโดยใช้เทคโนโลยีชาวบ้าน
ณ หมู่บ้านชัฏหนองหมี ต.ชัฏป่าหวาย
อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี
วันแรกของการเข้าร่วมกิจกรรมมีท่านอธิบดีกรมปศุสัตว์
น.สพ.ทฤษดี ชาวสวนเจริญ
เป็นประธานเปิดกรวยในพิธี
โดยมีรองผู้ว่าราชการจังหวัด นายณรงค์
ครองชนม์ เป็นผู้กล่าวรายงาน
เรื่องความสำคัญของการเลี้ยงปศุสัตว์ในจังหวัดราชบุรี บรรยากาศของงานเป็นการเปิดงานที่เรียบง่ายดี ท่านปศุสัตว์จังหวัด วิมลรัตน์ สุภาคม
และทีมงานของท่านบริหารจัดการได้กระชับ
ประหยัด
นำงบประมาณลงสู่เนื้องานด้านการส่งเสริมสุขภาพสัตว์ให้เกิดประโยชน์กับชาวบ้านมากที่สุด
การลงพื้นที่ในครั้งนี้ทำให้รู้ได้เลยว่าผลผลิตในการสร้างบุคลากรระดับเทคโนโลยีด้านการปศุสัตว์
ของวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีราชบุรีไม่สูญเปล่า !!
สามารถเป็นที่พึ่งพิงให้กับการพัฒนาปศุสัตว์ไทยได้เป็นอย่างดี
สังเกตศิษย์เก่าทั้งในสาขาวิชาสัตวศาสตร์ซึ่งครูเปรียบเหมือนลูกคนโต และสาขาวิชาสัตวรักษ์เทียบได้เหมือนลูกคนเล็ก ทั้ง 2 สาขาเป็นตัวจักรสำคัญในการปฏิบัติการภาคสนามได้อย่างแข็งขัน
จนพี่อาวุโสที่อยู่ในโครงการสัตวแพทย์พระราชทานอดชมไม่ได้ว่า ศิษย์เกษตรเขาเขียวปฏิบัติการภาคสนามได้คล่อง
สะท้อนถึงการได้รับการฝึกปฏิบัติมาอย่างดีทั้งบู๊และบุ๋น
ในการได้รับภารกิจร่วมเสวนากับเกษตรกรครั้งนี้
มีเรื่องที่น่าสนใจอย่างมากในการนำแนวคิดจากเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็นมาพัฒนากระบวนการเรียน การวิจัย
และการบริการวิชาชีพของอาชีวเกษตรให้ไปในทิศทางเดียวกัน สามารถช่วยแก้ไขปัญหาชุมชนได้อย่างไร จะมีส่วนร่วมกับสำนักงานปศุสัตว์จังหวัดราชบุรีในการพัฒนาการส่งเสริมสุขภาพสัตว์
โดยเฉพาะการเลี้ยงแพะให้เป็นหมู่บ้านเลี้ยงแพะแบบพึ่งพาตนเองได้อย่างไร ทำอย่างไรจึงจะลดโครงการประชานิยมบางอย่างที่ดูถูกภูมิปัญญาของชุมชน ภาครัฐควรเลิกทำตัวเป็นซานตาครอสเสียที หากชาวบ้านพึ่งพาตนเองได้มากขึ้นเท่าไร
สิ่งต่างๆที่เป็นปัญหาที่หมักหมมในสังคมไทยจะค่อยคลี่คลายไปในทางสร้างสรรค์มากขึ้น
มัวฝอยมาตั้งนานคงอยากจะทราบแล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้นที่หมูบ้านชัฏหนองหมี
? ? บรรยากาศที่จัดเสวนาในวันนั้น สภาพอากาศเป็นใจฝนไม่ตก ลมพัดเย็นสบายภายใต้ร่มโพธิ์ต้นใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขาปกคลุมร่มเงาให้กับผู้เข้าร่วมเสวนาได้อย่างเป็นธรรมชาติ เราจัดกันแบบเวทีชาวบ้าน
หัวข้อการเสวนาก็อย่างที่อ้างไว้เรื่องพยาธิภายในและพยาธิภายนอก จำได้ว่าผมมาบรรจุงานเมื่อปี 2530 เวลาออกหน่วยระยะสั้นเคลื่อนที่ของเกษตรเขาเขียว ปัญหาเรื่องพยาธิในสัตว์เลี้ยง จัดเป็นหัวข้อที่ต้องอธิบายอยู่เป็นประจำ เวลาคล้อยหลังผ่านมา 25 ปี
ปัญหานี้ยังคงอยู่และกลับหนักขึ้นกว่าเดิม
ในวงเสวนาวันนั้นทำให้ทราบว่าพยาธิตัวกลมในระบบทางเดินอาหารของแพะ เป็นปัญหามาก
จากตัวอย่างที่ชาวบ้านนำมาให้ตรวจพบไข่พยาธิตัวกลมจำนวนมาก และเจ้าของตัวอย่างที่นำขี้แพะมาให้ตรวจ บอกให้ทางเราทราบว่าเลี้ยงแพะจำนวน 80 ตัว ตายไปแล้ว 20 ตัว ขณะนี้( 25 ส.ค.2555 )
แพะเมื่อชั่งน้ำหนักที่มีชีวิตราคากิโลกรัมละ 110 บาท แพะตัวหนึ่งน้ำหนักเฉลี่ย 30 – 35 ก.ก.
ลองคิดดูว่าเกษตรกรรายนี้ต้องสูญเสียรายได้จากแพะที่ตายจากโรคพยาธิเป็นเงินเท่าไร
เนื้อหาของการแลกเปลี่ยนปัญหาเรื่องการแก้ไขปัญหาพยาธิภายใน
และพยาธิภายนอกระหว่างผมกับหมอมนัสชัย วัฒนกูล
เป็นการสื่อสารเปรียบเทียบให้ชาวบ้านได้ทราบถึงวิธีคิด แก้ไข ป้องกันทั้งในมุมมองจากภูมิปัญญาตะวันตก และภูมิปัญญาตะวันออก ซึ่งในมุมมองทั้ง 2
มีแง่คิดน่าสนใจที่ควรหยิบยกมาอธิบายเพื่อการจรรโลงความคิดและแก้ไขปัญหาโดยเอาชุมชนเป็นตัวตั้ง
ในรูปแบบของวิธิคิดแบบตะวันตกจะเน้นการไล่ล่าฆ่ามันให้หมดสิ้นไปจากร่างกาย เน้นการรุกราน
ดูตัวอย่างประเทศสหรัฐอเมริกาบุกยึดอิรัก
จับซัดดัมฆ่าแล้วเข้าไปบริหารจัดการแหล่งน้ำมันของประเทศอิรัก ยาถ่ายพยาธิที่ผลิตจากฝั่งตะวันตกก็เช่นกัน
เน้นการทำลายตัวเต็มวัยพยาธิไม่ให้เหลือไว้สักตัวเดียว
ส่วนภูมิปัญญาตะวันออกนั้นไม่ต้องการทำลายพยาธิให้หมดสิ้นไปจากร่างกาย แต่ให้เหลือไว้ในปริมาณที่เหมาะสมเพื่อสร้างภูมิไว้ป้องกัน มิให้ตัวอ่อนระยะติดโรค ( infective
larva ) ซึ่งเข้ามาใหม่เจริญเป็นตัวเต็มวัยได้
ปัญหาหนึ่งที่นักวิชาการและผู้ปฏิบัติการในพื้นที่พบ ยาแพงๆอย่างไอโวเมคตินเริ่มเอาไม่อยู่ พยาธิเริ่มดื้อยาแล้วหรือ จะทำอย่างไรดีล่ะ?? ถ้าหากคิดในมุมมองตะวันออก
พยาธิเปรียบเหมือนตัวทุกข์ในทางพระพุทธศาสนา คงต้องยอมรับว่าปุถุชนคนทั่วไปไม่สามารถหลุดพ้นจากความทุกข์ได้
แต่จะต้องคอยตรวจสอบชำระชะล้างความทุกข์อย่างสม่ำเสมอ
หากขาดสติกำกับไว้อย่างรู้เท่าทันทุกข์จะเข้าแทรกทันที โดยเฉพาะทุกข์จากอัตตาของคน แพะก็เช่นกันได้รับตัวอ่อนระยะติดโรคพยาธิอยู่ทุกครั้งที่ลงแปลงหญ้า หากร่างกายขาดภูมิคุ้มกันโดยเฉพาะกลไกของร่างกายที่เยียวยาตนเอง
( self cure )
ในระดับที่สามารถป้องกันตนเองจากตัวอ่อนพยาธิได้
อะไรล่ะ!! ที่แพะเหล่านี้ขาดภูมิคุ้มกันในการเยียวยาตนเอง ผมคิดว่าการรับเทคโนโลยีมาอย่างครึ่งๆกลาง และไม่สอดคล้องกับวิถีชุมชนและเงินในกระเป๋า!!
ชาวบ้าน คงเป็นไปได้ยากที่เกษตรส่วนใหญ่จะซื้อยาราคาแพงๆมาฉีดให้กับแพะของตนเองอย่างสม่ำเสมอ
และคงเป็นไปได้ยากอีกเช่นกันที่เจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ซึ่งมีจำนวนไม่มาก จะสามารถบริการอย่างทั่วถึงและสม่ำเสมอ ดังนั้นจึงเกิดสุญญากาศทางภูมิคุ้มกัน ( immunity vaccum ) คำนี้ผมคิดเอาเอง คงไม่มีใครบัญญัติศัพท์ในวงวิชาการหรอก ความหมายมันเป็นเช่นนั้นจริงๆ
คือสัตว์ขาดภูมิคุ้มกันชั่วคราวตามธรรมชาติ
ปกติแล้วแพะจะมีการป้องกันตนเองจากเชื้อโรคหรือตัวอ่อนพยาธิ
หากแต่ว่าถ้ามีการทำให้ร่างกายเสียดุลยภาพจากสารเคมี ร่างกายจะเสี่ยงต่อการติดเชื้อซ้ำ
ดังกล่าว
ตัวอ่อนของพยาธิตัวกลมระยะติดโรคในระบบทางเดินอาหารของแพะเมื่อเข้าสู่ร่างกายแพะจะกลายเป็นตัวเต็มวัยภายใน
19 วัน ลองคิดดูก็แล้วกันว่า
ช่วงที่แพะได้รับยาถ่ายพยาธิซึ่งเป็นสารเคมีฉีดเข้าร่างกาย ตัวเต็มวัยจะถูกฆ่าตายหมด ดังนั้นในวันต่อมาแพะเหล่านี้มีโอกาสกินตัวอ่อนระยะติดโรคของพยาธิทุกๆวันเป็นเวลาอย่างน้อย
19 วัน
จะเกิดอะไรขึ้น
ถ้าตัวอ่อนเหล่านี้เข้าไปอยู่ในร่างกายแพะเป็นพันตัว
แพะเหล่านี้จะถูกพยาธิช่วยกันรุมดูดเลือดจนแพะซีดตายในที่สุด
กว่าเกษตรกรจะรู้ตัวว่าภัยเงียบที่ขยันดูดเลือดทั้งวันทั้งคืนเป็นสาเหตุของความอ่อนแอซึ่งจะมีโรคฉวยโอกาสต่างๆในแพะเข้ามาช่วยกันรุมเร้าก็สายเกินแก้
แล้วมีวิธีใดบ้างสามารถช่วยให้เกษตรกรพึ่งพาตนเองในการควบคุมโรคพยาธิในแพะเหล่านี้ได้ด้วยตนเอง โปรดติดตามตอนต่อไป
น.สพ.พิเชษฐ ประจงทัศน์
30 ส.ค. 2555
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)