เหตุเกิดที่หมู่บ้านชัฏหนองหมี
จำได้ว่าคำขวัญ “เราเรียนรู้ด้วยงานการฝึกหัด (Doing to Learn) เราปฏิบัติเพื่อหวังทางศึกษา (Earning to Live) หาเลี้ยงชีพเพื่อชีวิตพัฒนา (Living to Serve) ใช้วิชาเพื่อบริการงานสังคม
(Learning to Do)
เป็นคำขวัญขององค์การวิชาชีพเพื่อเกษตรกรในอนาคตแห่งประเทศไทย
ในสมเด็จพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี หรือที่พวกเราชาวเกษตรเขาเขียวรู้จักกันในชื่อย่อว่า
“อกท.” นั้น เป็นหลักปฏิบัติ
เป็นวิถีของการทำงานในอาชีพของเกษตรเขาเขียวทุกคน จะว่าผู้ที่เรียนผ่านฝึกปฏิบัติผ่านสถาบันการศึกษานี้
จะพบคุณลักษณะหนึ่งที่เป็นเสน่ห์ของเด็กเกษตรที่นี่คือ หนักเอาเบาสู้
มีความอดทน
เรียนรู้งานเร็วในการปฏิบัติงานภาคสนาม
และหน่วยงานที่มีความประทับใจในการปฏิบัติงานร่วมกับชาวเกษตรเขาเขียวตลอดมาคือ หน่วยงานปศุสัตว์จังหวัดราชบุรี
ที่มีลักษณะการทำงานส่งเสริมซึ่งกันและกันกับวิทยาลัยฯ
เห็นได้ชัดเจนคือโครงการสัตวแพทย์พระราชทานในสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 23 – 25 สิงหาคม 2555 ที่อำสวนผึ้ง จ.ราชบุรี
นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ทรงห่วงใยปศุสัตว์ของราษฎร
ทำให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านการปศุสัตว์
ตั้งแต่ปศุสัตว์จังหวัดราชบุรีซึ่งเป็นเจ้าภาพหลักร่วมกับเจ้าหน้าที่จากสำนักพระราชวัง
หน่วยงานราชการๆของจังหวัดที่สนับสนุนการทำงานด้านต่างๆในพื้นที่ ตลอดจนมหาวิทยาลัยที่มีนิสิตนักศึกษาคณะสัตวแพทย์
เช่น มหาวิทยาลัยมหิดล
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
สำหรับเกษตรเขาเขียวเรานั้นเข้าไปมีส่วนสนับสนุนงาน โดยพานักศึกษาในสาขาวิชาสัตวศาสตร์
และสาขาวิชาสัตวรักษ์ลงปฏิบัติงานร่วมกับรุ่นพี่เขาเขียวซึ่งส่วนมากเป็นเจ้าหน้าที่ของปศุสัตว์จังหวัดราชบุรี และผมได้รับเชิญไปในฐานะวิทยากรเสวนา
ร่วมกับเกษตรกรและนักวิชาการจากกรมปศุสัตว์ ในหัวข้อการควบคุมพยาธิภายใน-ภายนอกโดยใช้เทคโนโลยีชาวบ้าน
ณ หมู่บ้านชัฏหนองหมี ต.ชัฏป่าหวาย
อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี
วันแรกของการเข้าร่วมกิจกรรมมีท่านอธิบดีกรมปศุสัตว์
น.สพ.ทฤษดี ชาวสวนเจริญ
เป็นประธานเปิดกรวยในพิธี
โดยมีรองผู้ว่าราชการจังหวัด นายณรงค์
ครองชนม์ เป็นผู้กล่าวรายงาน
เรื่องความสำคัญของการเลี้ยงปศุสัตว์ในจังหวัดราชบุรี บรรยากาศของงานเป็นการเปิดงานที่เรียบง่ายดี ท่านปศุสัตว์จังหวัด วิมลรัตน์ สุภาคม
และทีมงานของท่านบริหารจัดการได้กระชับ
ประหยัด
นำงบประมาณลงสู่เนื้องานด้านการส่งเสริมสุขภาพสัตว์ให้เกิดประโยชน์กับชาวบ้านมากที่สุด
การลงพื้นที่ในครั้งนี้ทำให้รู้ได้เลยว่าผลผลิตในการสร้างบุคลากรระดับเทคโนโลยีด้านการปศุสัตว์
ของวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีราชบุรีไม่สูญเปล่า !!
สามารถเป็นที่พึ่งพิงให้กับการพัฒนาปศุสัตว์ไทยได้เป็นอย่างดี
สังเกตศิษย์เก่าทั้งในสาขาวิชาสัตวศาสตร์ซึ่งครูเปรียบเหมือนลูกคนโต และสาขาวิชาสัตวรักษ์เทียบได้เหมือนลูกคนเล็ก ทั้ง 2 สาขาเป็นตัวจักรสำคัญในการปฏิบัติการภาคสนามได้อย่างแข็งขัน
จนพี่อาวุโสที่อยู่ในโครงการสัตวแพทย์พระราชทานอดชมไม่ได้ว่า ศิษย์เกษตรเขาเขียวปฏิบัติการภาคสนามได้คล่อง
สะท้อนถึงการได้รับการฝึกปฏิบัติมาอย่างดีทั้งบู๊และบุ๋น
ในการได้รับภารกิจร่วมเสวนากับเกษตรกรครั้งนี้
มีเรื่องที่น่าสนใจอย่างมากในการนำแนวคิดจากเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็นมาพัฒนากระบวนการเรียน การวิจัย
และการบริการวิชาชีพของอาชีวเกษตรให้ไปในทิศทางเดียวกัน สามารถช่วยแก้ไขปัญหาชุมชนได้อย่างไร จะมีส่วนร่วมกับสำนักงานปศุสัตว์จังหวัดราชบุรีในการพัฒนาการส่งเสริมสุขภาพสัตว์
โดยเฉพาะการเลี้ยงแพะให้เป็นหมู่บ้านเลี้ยงแพะแบบพึ่งพาตนเองได้อย่างไร ทำอย่างไรจึงจะลดโครงการประชานิยมบางอย่างที่ดูถูกภูมิปัญญาของชุมชน ภาครัฐควรเลิกทำตัวเป็นซานตาครอสเสียที หากชาวบ้านพึ่งพาตนเองได้มากขึ้นเท่าไร
สิ่งต่างๆที่เป็นปัญหาที่หมักหมมในสังคมไทยจะค่อยคลี่คลายไปในทางสร้างสรรค์มากขึ้น
มัวฝอยมาตั้งนานคงอยากจะทราบแล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้นที่หมูบ้านชัฏหนองหมี
? ? บรรยากาศที่จัดเสวนาในวันนั้น สภาพอากาศเป็นใจฝนไม่ตก ลมพัดเย็นสบายภายใต้ร่มโพธิ์ต้นใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขาปกคลุมร่มเงาให้กับผู้เข้าร่วมเสวนาได้อย่างเป็นธรรมชาติ เราจัดกันแบบเวทีชาวบ้าน
หัวข้อการเสวนาก็อย่างที่อ้างไว้เรื่องพยาธิภายในและพยาธิภายนอก จำได้ว่าผมมาบรรจุงานเมื่อปี 2530 เวลาออกหน่วยระยะสั้นเคลื่อนที่ของเกษตรเขาเขียว ปัญหาเรื่องพยาธิในสัตว์เลี้ยง จัดเป็นหัวข้อที่ต้องอธิบายอยู่เป็นประจำ เวลาคล้อยหลังผ่านมา 25 ปี
ปัญหานี้ยังคงอยู่และกลับหนักขึ้นกว่าเดิม
ในวงเสวนาวันนั้นทำให้ทราบว่าพยาธิตัวกลมในระบบทางเดินอาหารของแพะ เป็นปัญหามาก
จากตัวอย่างที่ชาวบ้านนำมาให้ตรวจพบไข่พยาธิตัวกลมจำนวนมาก และเจ้าของตัวอย่างที่นำขี้แพะมาให้ตรวจ บอกให้ทางเราทราบว่าเลี้ยงแพะจำนวน 80 ตัว ตายไปแล้ว 20 ตัว ขณะนี้( 25 ส.ค.2555 )
แพะเมื่อชั่งน้ำหนักที่มีชีวิตราคากิโลกรัมละ 110 บาท แพะตัวหนึ่งน้ำหนักเฉลี่ย 30 – 35 ก.ก.
ลองคิดดูว่าเกษตรกรรายนี้ต้องสูญเสียรายได้จากแพะที่ตายจากโรคพยาธิเป็นเงินเท่าไร
เนื้อหาของการแลกเปลี่ยนปัญหาเรื่องการแก้ไขปัญหาพยาธิภายใน
และพยาธิภายนอกระหว่างผมกับหมอมนัสชัย วัฒนกูล
เป็นการสื่อสารเปรียบเทียบให้ชาวบ้านได้ทราบถึงวิธีคิด แก้ไข ป้องกันทั้งในมุมมองจากภูมิปัญญาตะวันตก และภูมิปัญญาตะวันออก ซึ่งในมุมมองทั้ง 2
มีแง่คิดน่าสนใจที่ควรหยิบยกมาอธิบายเพื่อการจรรโลงความคิดและแก้ไขปัญหาโดยเอาชุมชนเป็นตัวตั้ง
ในรูปแบบของวิธิคิดแบบตะวันตกจะเน้นการไล่ล่าฆ่ามันให้หมดสิ้นไปจากร่างกาย เน้นการรุกราน
ดูตัวอย่างประเทศสหรัฐอเมริกาบุกยึดอิรัก
จับซัดดัมฆ่าแล้วเข้าไปบริหารจัดการแหล่งน้ำมันของประเทศอิรัก ยาถ่ายพยาธิที่ผลิตจากฝั่งตะวันตกก็เช่นกัน
เน้นการทำลายตัวเต็มวัยพยาธิไม่ให้เหลือไว้สักตัวเดียว
ส่วนภูมิปัญญาตะวันออกนั้นไม่ต้องการทำลายพยาธิให้หมดสิ้นไปจากร่างกาย แต่ให้เหลือไว้ในปริมาณที่เหมาะสมเพื่อสร้างภูมิไว้ป้องกัน มิให้ตัวอ่อนระยะติดโรค ( infective
larva ) ซึ่งเข้ามาใหม่เจริญเป็นตัวเต็มวัยได้
ปัญหาหนึ่งที่นักวิชาการและผู้ปฏิบัติการในพื้นที่พบ ยาแพงๆอย่างไอโวเมคตินเริ่มเอาไม่อยู่ พยาธิเริ่มดื้อยาแล้วหรือ จะทำอย่างไรดีล่ะ?? ถ้าหากคิดในมุมมองตะวันออก
พยาธิเปรียบเหมือนตัวทุกข์ในทางพระพุทธศาสนา คงต้องยอมรับว่าปุถุชนคนทั่วไปไม่สามารถหลุดพ้นจากความทุกข์ได้
แต่จะต้องคอยตรวจสอบชำระชะล้างความทุกข์อย่างสม่ำเสมอ
หากขาดสติกำกับไว้อย่างรู้เท่าทันทุกข์จะเข้าแทรกทันที โดยเฉพาะทุกข์จากอัตตาของคน แพะก็เช่นกันได้รับตัวอ่อนระยะติดโรคพยาธิอยู่ทุกครั้งที่ลงแปลงหญ้า หากร่างกายขาดภูมิคุ้มกันโดยเฉพาะกลไกของร่างกายที่เยียวยาตนเอง
( self cure )
ในระดับที่สามารถป้องกันตนเองจากตัวอ่อนพยาธิได้
อะไรล่ะ!! ที่แพะเหล่านี้ขาดภูมิคุ้มกันในการเยียวยาตนเอง ผมคิดว่าการรับเทคโนโลยีมาอย่างครึ่งๆกลาง และไม่สอดคล้องกับวิถีชุมชนและเงินในกระเป๋า!!
ชาวบ้าน คงเป็นไปได้ยากที่เกษตรส่วนใหญ่จะซื้อยาราคาแพงๆมาฉีดให้กับแพะของตนเองอย่างสม่ำเสมอ
และคงเป็นไปได้ยากอีกเช่นกันที่เจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ซึ่งมีจำนวนไม่มาก จะสามารถบริการอย่างทั่วถึงและสม่ำเสมอ ดังนั้นจึงเกิดสุญญากาศทางภูมิคุ้มกัน ( immunity vaccum ) คำนี้ผมคิดเอาเอง คงไม่มีใครบัญญัติศัพท์ในวงวิชาการหรอก ความหมายมันเป็นเช่นนั้นจริงๆ
คือสัตว์ขาดภูมิคุ้มกันชั่วคราวตามธรรมชาติ
ปกติแล้วแพะจะมีการป้องกันตนเองจากเชื้อโรคหรือตัวอ่อนพยาธิ
หากแต่ว่าถ้ามีการทำให้ร่างกายเสียดุลยภาพจากสารเคมี ร่างกายจะเสี่ยงต่อการติดเชื้อซ้ำ
ดังกล่าว
ตัวอ่อนของพยาธิตัวกลมระยะติดโรคในระบบทางเดินอาหารของแพะเมื่อเข้าสู่ร่างกายแพะจะกลายเป็นตัวเต็มวัยภายใน
19 วัน ลองคิดดูก็แล้วกันว่า
ช่วงที่แพะได้รับยาถ่ายพยาธิซึ่งเป็นสารเคมีฉีดเข้าร่างกาย ตัวเต็มวัยจะถูกฆ่าตายหมด ดังนั้นในวันต่อมาแพะเหล่านี้มีโอกาสกินตัวอ่อนระยะติดโรคของพยาธิทุกๆวันเป็นเวลาอย่างน้อย
19 วัน
จะเกิดอะไรขึ้น
ถ้าตัวอ่อนเหล่านี้เข้าไปอยู่ในร่างกายแพะเป็นพันตัว
แพะเหล่านี้จะถูกพยาธิช่วยกันรุมดูดเลือดจนแพะซีดตายในที่สุด
กว่าเกษตรกรจะรู้ตัวว่าภัยเงียบที่ขยันดูดเลือดทั้งวันทั้งคืนเป็นสาเหตุของความอ่อนแอซึ่งจะมีโรคฉวยโอกาสต่างๆในแพะเข้ามาช่วยกันรุมเร้าก็สายเกินแก้
แล้วมีวิธีใดบ้างสามารถช่วยให้เกษตรกรพึ่งพาตนเองในการควบคุมโรคพยาธิในแพะเหล่านี้ได้ด้วยตนเอง โปรดติดตามตอนต่อไป
น.สพ.พิเชษฐ ประจงทัศน์
30 ส.ค. 2555