ชื่อนั้นสำคัญไฉน ??
...........ในรอบหลายปีที่ผ่านมา คนไทยเราชอบให้คำจำกัดความวัตถุสิ่งของ
ความเชื่อ
ทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม เพื่อตีกรอบความคิดหรือแบ่งแยกสิ่งต่างๆมากเกินความจำเป็น
จนลืมสารัตถะที่มีความหมายและคุณค่ามากกว่าคำที่ถูกกำหนดตามตัวอักษร ซึ่งกลุ่มคนในสังคมสร้างขึ้นมาเพื่อหาพวกพ้องในการกีดกันคนกลุ่มอื่นที่เกิดขึ้นมาใหม่มีความคิดสร้างสรรค์สังคมใหม่ๆ โดยอาจคิดต่างจากกลุ่มก้อนเดิมซึ่งถ้าหากอัตตาเหล่านี้ไม่คลายตัว หรือเปิดรับความคิดเพื่อสร้างพันธมิตรแห่งความเป็นมนุษย์ขึ้นมาแล้ว สุดท้ายอาจติดกับความคิดและอุดมการณ์ที่จมปลักอยู่กับอดีต
วาทะกรรมที่หมู่ชนคนไทยติดกับและยังไม่สามารถหาทางออกให้กับตัวเองได้ เช่น ไพร่กับอมาตย์ กลุ่มเสื้อสีเหลือง สีแดง
เสื้อฟ้า
หรือแม้กระทั่งในวงวิชาชีพทางปศุสัตว์ก็ไม่วายจะต้องถูกตีความว่า อาชีพนั้นอาชีพนี้มีความหมายว่าอย่างไร
การสร้างนวัตกรรมทางอาชีพขึ้นมาสักอย่างผู้ที่ริเริ่มจะต้องเป็นผู้แบกรับ ต้องมีความเชื่อมั่นและศรัทธา ถึงแม้ว่าจะต้องเจ็บปวด
และอาจถูกกระแสสังคมจากเพื่อนร่วมวิชาชีโจมตี
และวิพากษ์วิจารณ์ อย่างไรก็แล้วแต่ จำเป็นจะต้องมีความอดทน น้อมรับและฟังเหตุฟังผลในการให้ข้อคิดเห็น และข้อเสนอแนะอย่างมีสติ พร้อมที่จะปรับปรุง
ถึงแม้บางข้อความที่ได้รับจะเป็นการเสียดสีก็ตาม
ตั้งแต่เปิดการเรียนการสอนสาขาวิชาสัตวรักษ์ปีนี้เป็นปีที่
18 ผ่านอุปสรรคต่างๆมามากมาย แต่ยังมีความมุ่งมั่น โดยมีเจตนาอันบริสุทธิ์ในการสร้างอาชีพนี้เพื่อรับใช้มวลชน เป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาการปศุสัตว์ไทย แต่ก็นั่นแหละอะไรก็ตามซึ่งเกิดขึ้นใหม่ในสังคมที่ผู้คนยังต้องการความหมายมากกว่าเนื้อหาสาระ
ยังต้องการใบปริญญามากกว่าสมรรถนะในการทำงาน เราต้องไม่เบื่อในการให้คำจำกัดความของสาขานี้ในทุกเวลา ทุกสถานที่
และทุกสถานการณ์
สื่อใดที่สามารถเผยแพร่ได้เราจะชี้แจง
จนกว่าสังคมหรือผู้ใช้บริการจะหายสงสัย และยอมรับในการทำงานของเรา บทความหน้าสื่อนี้ก็เช่นกัน จะขออธิบายตำนานและความหมายคำว่า “สัตวรักษ์”
เพื่อว่าคนรุ่นหลังจะได้ไม่จำไปบอกต่อผิด ๆ อย่างน้อยมีข้อมูลอ้างอิงจากผู้ให้กำเนิดสาขานี้ได้อย่างถูกต้อง
ในปี พ.ศ.2536 มีนักวิชาการกลุ่มหนึ่งของกรมอาชีวศึกษา
( เป็นชื่อเรียกในสมัยนั้น ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา
) มองเห็นถึงภาระกิจในการพัฒนาอาชีพด้านการเกษตรว่ายังขาดแคลนบุคลากรประเภทสหวิทยาการทางอาชีพการปศุสัตว์ในระดับเทคโนโลยี ผู้อำนวยการกองเกษตรกรรมในสมัยนั้น นายบุระ
กาญจนเสริม จึงเรียนเชิญท่าน
ผู้อำนวยการวิทยาลัยเกษตรกรรมราชบุรี (
ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีราชบุรี ) นายประวัติ ญาณะชัย มาขอคำปรึกษาว่าสามารถพัฒนาอาชีพดังว่าได้หรือไม่ ในที่สุดภารกิจอันหนักอึ้งนี้ก็ตกมาสู่ผมและคณะ ซึ่งไม่ทราบมาก่อนว่าจะต้องเผชิญอุปสรรคอย่างไร
หลักสูตรของสาขานี้แรกเริ่มเดิมทีพัฒนามาจากหลักสูตรของสัตวแพทย์กรมปศุสัตว์
แล้วค่อยๆปรับปรุงให้เหมาะกับยุคสมัยมาไม่ต่ำกว่า 3 ครั้ง ( ปี พ.ศ.2538, พ.ศ.2540,และพ.ศ.2546 ) สาเหตุที่ต้องปรับปรุงเพราะทุกครั้งที่ลูกศิษย์ออกไปทำงานจะได้รับข้อแนะนำอันเป็นประโยชน์
สถานประกอบการก็มีส่วนในการช่วยวิพากษ์วิจารณ์แก้ไข และบอกถึงความต้องการในสภาพจริงว่าต้องการบุคลากรทางด้านนี้อย่างไร
มีประโยชน์มากครับ!! ในการน้อมรับคำติชมทุกภาคส่วน ทำให้เราสร้างอาชีพสร้างงานที่นับวันจะต้องใช้ความรู้ ใช้เทคโนโลยี
นำศิลปวิชาชีพของศาสตร์ในสาขาต่างๆที่มีจุดแข็งมาบูรณาการจนเกิดเป็นหลักสูตรผสมผสาน ประกอบกับเสน่ห์ของเด็กอาชีวเกษตรซึ่งมีพื้นฐานมาจากลูกเกษตรกร เป็นคนอารมณ์ดี มีมนุษยสัมพันธ์ หนักเอาเบาสู้ ดังนั้นสาขาวิชาสัตวรักษ์จึงเป็นศาสตร์ที่ผู้เรียน จะต้องมีความสามารถในการผลิตสัตว์ได้ บริบาลสัตว์เป็น และบริการชุมชนด้วยการส่งเสริมสุขภาพสัตว์ได้ คือเป็นนักสัตวบาล ผู้ช่วยสัตวแพทย์ และเป็นนักส่งเสริม อยู่ในคนคนเดียวกัน ปัจจุบันสาขานี้จึงมีอัตลักษณ์ซึ่งเป็นที่รู้กันทั่วไปว่า “มีมาตรฐาน บูรณการศาสตร์วิชา” สาขานี้เน้นผลิตผู้เรียนออกปฏิบัติการภาคสนามเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นกระบวนการเรียนจึงเน้นการปฏิบัติตลอดระยะเวลา
2 ปี ตามหลักสูตรในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง( ปวส.)
คำถามที่มักได้ยินบ่อยๆจากผู้คนทั่วไปคือว่าสัตวรักษ์แตกต่างจากสัตวแพทย์ และสัตวบาลอย่างไร
สำหรับคำว่าสัตวแพทย์และสัตวบาลนั้น สองคำนี้อยู่ในสังคมไทยมาไม่ต่ำ 60 ปี ผู้คนในบ้านในเมืองรู้จักเป็นอย่างดี ส่วนสัตวรักษ์เพิ่งได้ยินชื่อมาช่วง 2 ทศวรรษนี้เอง
ถ้าเปรียบเป็นคนสาขานี้ก็เพิ่งจะย่างเข้าสู่วัยรุ่น
ส่วนผู้อาวุโสทั้งสองสาขาก็เข้าสู่วัยที่เป็นหลักให้กับอาชีพในวงการปศุสัตว์ไทยอย่างยั่งยืน
สัตวรักษ์นั้นแตกต่างจากสัตวแพทย์อย่างแน่นอน
ถ้าจะเปรียบให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น
ให้ลองเทียบกับคนในวงการสาธารณสุข
ซึ่งมีเจ้าหน้าที่หลากหลายบทบาท เช่น หมอ พยาบาล ทันตแพทย์ เภสัชกร
เทคนิคการแพทย์ นักกายภาพบำบัด เป็นต้น สัตวรักษ์เปรียบคล้ายอาชีพพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุข มีการเรียนพื้นฐานวิชาชีพคล้ายพยาบาล เป็นการเรียนเบื้องต้นทางการแพทย์เพื่อให้รู้ลักษณะงานของหมอ สัตวรักษ์จึงเป็นอีกอาชีพหนึ่งในวงการปศุสัตว์ที่เข้าไปช่วยเสริมงานทางสัตวแพทย์ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยทำงานภายใต้ความรับผิดชอบของนายสัตวแพทย์ซึ่งมีใบประกอบวิชาชีพ เป็นผู้ให้กรอบการทำงานในการปฏิบัติการภาคสนาม
ซึ่งเราจะพบได้ในหน่วยงานราชการของกรมปศุสัตว์ที่มีนายสัตวแพทย์จำนวนไม่มาก แต่มีทีมงานที่จบจากสัตวรักษ์คอยช่วยเติมเต็มงานในภาคสนาม ให้ทันท่วงทีกับความต้องการของพี่น้องประชาชน (
แหมคำนี้พูดอย่างกับนักการเมือง ) ข้อแตกต่างที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือความรู้ของนายสัตวแพทย์เรียนมามาก และเรียนอย่างลึกซึ้ง ปฏิบัติการในภาคสนามก็ไม่น้อย และเรียนถึง 6 ปีกว่าจะจบหลักสูตรเป็นสัตวแพทย์บัณฑิต
จึงไม่ควรระแวงว่าผู้เรียนจบจากสาขาวิชาสัตวรักษ์ซึ่งเรียนเพียง 2 ปีจะมาแย่งอาชีพ
จะแย่งได้อย่างไรเล่า!! เพราะพวกเขาเหล่านี้ไม่ได้มีใบประกอบวิชาชีพอย่างอาชีพสัตวแพทย์
ดังนั้นจึงควรวางบทบาทการทำงานร่วมกันอย่างไรให้ทำงานกันได้อย่างหมอรักษาคน
และพยาบาล
จะทำให้การศึกษาและการปศุสัตว์ไทยก้าวไกลสู่อาเซียนอย่างมีประสิทธิภาพ
เอ.....แล้วสัตวบาล
หรือบางทีเรียกสัตวศาสตร์ มีความแตกต่างกันอย่างไรกับสัตวรักษ์ สัตวบาลนั้นเน้นการผลิตปศุสัตว์
การจัดการให้สัตว์มีผลผลิตที่ดี
ดูแลด้านสายพันธุ์ การผสมเทียม ผลิตอาหาร สัตว์ที่มีคุณภาพ ตลอดจนการสุขาภิบาลสัตว์ เป็นต้น
สำหรับสัตวรักษ์มีบทบาทและหน้าที่ดังกล่าวไว้ข้างต้นคือ ต้องมีความสามารถด้านผลิตปศุสัตว์ การผสมเทียม
การจัดการ การเลี้ยงดู การคำนวณสูตรอาหาร
การดูแลบริบาลสัตว์เบื้องต้น ( การใช้เวชภัณฑ์เบื้องต้น การรักษาสัตว์เบื้องต้น การทำศัลยกรรมเบื้องต้นในปศุสัตว์ ) และส่งเสริมการปศุสัตว์โดยการให้บริการวิชาชีพได้ กล่าวโดยสรุปสัตวรักษ์จะต้องผลิตสัตว์ได้ บริบาลสัตว์เป็น และให้การบริการด้านการปศุสัตว์
จะว่าไปแล้วที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นความพยายามจะให้นิยาม
หรือความหมายว่าชื่อนี้มีความเป็นมาอย่างไร แต่ก็นั่นแหละชื่อนั้นไม่สำคัญเท่ากับการทำงานว่าสามารถตอบสนอง สามารถทำประโยชน์ให้กับผู้จ้างงานหรือสังคมได้มากแค่ไหน เติ้งเสี่ยวผิง
อดีตนายกรัฐมนตรีของจีนผู้ปฏิรูปประเทศจีนอย่างก้าวกระโดด ยกวาทะกรรมไว้อย่างน่าสนใจว่า “แมวไม่ว่าจะเป็นสีอะไร หรือสายพันธุ์ใดหากสามารถจับหนูได้เป็นพอ” ด้วยเหตุนี้ลูกศิษย์ที่รักทุกคนจงทำตัวให้เป็นที่พึ่งพิงด้านการปศุสัตว์ไทยให้กับประชาชนอย่างเข้มแข็ง อย่างอดทนอดกลั้น ขยันขันแข็ง
สนใจใฝ่รู้พัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลา
อย่ามัวแต่ให้คำจำกัดความตัวเองอีกเลย
เพราะสักวันหนึ่งอาจมีวิชาชีพข้างเคียงของประเทศในกลุ่มอาเซียนเข้ามาเป็นคู่แข่งขัน เมื่อถึงเวลานั้นชื่อนั้นสำคัญไฉน!!
น.สพ.พิเชษฐ ประจงทัศน์
11 ก.ค. 2555